การเข้ามาของรถไฟฟ้า (BEV) สัญชาติจีน ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับตลาดรถยนต์ในไทย ทั้งในด้านเทคโนโลยีที่เปลี่ยนจากรถยนต์สันดาป (น้ำมัน) กลายเป็นรถแบตเตอรี่ใช้ไฟฟ้า ในขณะที่สงครามราคาของรถไฟฟ้าจีนที่บีบให้ผู้เล่นในตลาดหลายค่ายจำเป็นต้องปรับลดราคาลงตามท่ามกลางการแข่งขันรุนแรงขึ้น ซึ่งทำให้รถไฟฟ้าได้รับความนิยมในประเทศไทยมากขึ้นในช่วงแรก
นับตั้งแต่ปี 63 ยอดจดทะเบียนใหม่รถ BEV ในไทย สัดส่วนอยู่ที่ 0.1% ของยอดจดทะเบียนใหม่ทั้งหมด แต่ในปี 66 สัดส่วนจดทะเบียนใหม่ก้าวกระโดดขึ้นมาอยู่ที่ 8.4% ต่อเนื่องถึงปี 67 ที่ 13.9% และเดือน ก.ย. 68 สัดส่วนอยู่ที่ 15.7% สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนรถไฟฟ้าในประเทศให้ได้ 30% ของยอดการผลิตทั้งหมดภายในปี 73
มาตรการที่รัฐใช้ คือ มาตรการ EV 3.5 (ต่อจาก EV 3.0) ให้เงินอุดหนุนกับผู้ซื้อรถไฟฟ้าและลดภาษีนำเข้ากับผู้ผลิตรถ BEV แต่มีเงื่อนไขที่กำหนดให้ต้องผลิตรถ BEV ในประเทศชดเชยการนำเข้าช่วงแรกในอัตราส่วนที่กำหนด เพื่อส่งเสริมการผลิตในประเทศอย่างจริงจัง

สาเหตุคนไทยลังเลซื้อรถ EV
อย่างไรก็ตามความต้องการรถ BEV ในไทยกลับไม่ได้เติบโตแรง โดยข้อมูล ณ เดือน ก.ย. 68 รถ BEV มียอดจดทะเบียนสะสมทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 330,000 คัน หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.3% ของรถจดทะเบียนทั้งหมดในไทย ในขณะที่รถยนต์สันดาป (ICE) มียอดจดทะเบียนสะสมมากถึง 20.2 ล้านคัน สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยยังคงนิยมใช้รถยนต์สันดาปอยู่จำนวนมาก
สาเหตุที่คนไทยยังไม่ค่อยนิยมซื้อรถ BEV มาใช้นั้น รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สะท้อนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะเทคโนโลยีของรถไฟฟ้าที่ยังไม่นิ่ง หรือยังมีการพัฒนาต่อเนื่อง ดังนั้นหากใช้รถผ่านไป 4 – 5 ปี แล้วเกิดปัญหาหรือผู้ใช้รถต้องการอัพเกรดใหม่เพิ่มเติม เช่น มีแบตเตอรี่ชนิดใหม่ที่วิ่งได้ระยะไกลมากขึ้น จะไม่สามารถนำมาเปลี่ยนกับรถ BEV ในรุ่นเก่าได้ เพราะระบบซอฟต์แวร์ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ดังนั้นจึงส่งผลกระทบต่อผู้ใช้รถหากต้องการนำรถ BEV ไปขายเป็นมือสอง เนื่องจากราคาจะตกลงอย่างรวดเร็ว ปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญอย่างหนึ่งของกลุ่มผู้บริโภคที่ลังเลตัดสินใจซื้อรถ BEV
ปัจจุบันค่ายรถยนต์จีนและญี่ปุ่นกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาแบตเตอรี่รุ่นใหม่ โซลิดสเตต (Solid-State battery) ซึ่งจะทำให้รถวิ่งได้ไกลมาขึ้น ชาร์จได้เร็ว และมีความปลอดภัยสูง หากทำสำเร็จจะทำให้เทคโนโลยี BEV มีความเสถียรมากขึ้น แต่การพัฒนาต้องใช้ระยะเวลา รุจิพันธ์ ระบุว่า ค่ายรถใหญ่แห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ประกาศตั้งเป้าหมายพัฒนาโซลิดสเตต ให้ได้ภายในปี 71 จากนั้นถึงจะเริ่มวางขายเชิงพาณิชย์ แต่ช่วงระยะแรกจะมุ่งขายในตลาดญี่ปุ่นก่อน จากนั้นถึงจะขยายออกไปตลาดใหญ่ ๆ ในประเทศอื่น ซึ่งกว่าจะเข้าไทยก็หลังจากนั้น
“แน่นอนว่าช่วงแรกมันราคามันสูง กว่าจะเข้าสู่ตลาดได้ เขาต้องทยอยเพิ่ม Economies of Scale (ทำให้ต้นทุนต่อชิ้นถูกลง)ในการผลิตโซลิดสเตตแบตเตอรี่ก่อน ซึ่งตรงนั้นใช้ระยะเวลา”
ถือเป็นเรื่องปกติของทุกผลิตภัณฑ์ที่จะต้องใช้ระยะเวลาในการเพิ่มกำลังผลิตและขยายตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ที่มีกระแสเรื่อง แร่แร์เอิร์ท (Rare earth) ซึ่งบริษัทก็ต้องวางแผนจัดหาวัตถุดิบให้มีความเหมาะสมกับกำลังการผลิตด้วย
นอกจากนี้อีกสาเหตุหนึ่งที่รถไฟฟ้ายังไม่ได้รับความนิยมมากในไทย คือ สถานีชาร์จรถไฟฟ้าในไทยมีจำนวนน้อย ข้อมูลสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) ณ สิ้นเดือน ก.ค. 68 ผู้ให้บริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้าทั่วประเทศไทยมีจำนวน 20 ราย สถานีชาร์จทั้งหมด 3,720 แห่ง และหัวชาร์จจำนวน 11,622 หัว โดย รุจิพันธ์ ชี้ให้เห็นว่า สถานีชาร์จส่วนใหญ่มักจะกระจุกแต่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงหัวเมืองใหญ่ ๆ เท่านั้น ในขณะที่แบตเตอรี่รถ BEV ในปัจจุบันยังคงวิ่งได้ในระยะทางที่ไม่ไกลมาก จึงกลายเป็นอุปสรรคต่อการขับขี่ไปต่างจังหวัด
รถไฮบริดยอดขายแซงหน้าอีวี
เมื่อผู้บริโภคยังลังเลที่จะซื้อรถ BEV จากข้อจำกัดข้างต้น จึงส่งผลให้รถยนต์แบบไฮบริดที่ใช้พลังงาน 2 รูปแบบรวมกันในการขับเคลื่อน คือ เครื่องยนต์สันดาปภายใน (น้ำมัน) และมอเตอร์ไฟฟ้า ได้รับความนิยมสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนจากข้อมูล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือน ก.ย. 68 ยอดขายรถยนต์ไฮบริดแบบ HEV เติบโต 108.73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่จำนวน 12,764 คัน คิดเป็นสัดส่วน 26.40%ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ และรถยนต์ไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) เติบโต 223.35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่จำนวน 637 คัน คิดเป็นสัดส่วน 1.32 % ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ
ขณะที่รถ BEV มียอดขายจำนวน 9,107 คัน ยังคงเติบโต 99.10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วน 18.84% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ
กระตุ้นใช้รถอีวีให้ทันเป้าใหม่ Net Zero
ในคำแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภาของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศนโยบายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยปรับเป้าหมายให้เร็วขึ้น 15 ปี จากปี 2065 เป็นปี 2050 ซึ่งคาดว่าไทยจะนำเป้าหมายนี้ไปยื่นต่อที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศปี 2025 หรือ COP30
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าประเด็นดังกล่าวจะส่งผลต่อสถานการณ์รถ BEV ของไทย เพราะการที่ไทยจะบรรลุเป้าหมายใหม่ Net Zero ให้ได้นั้น จำเป็นต้องมีปริมาณการใช้รถ BEV ในประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 800,000 คัน เพื่อแตะเป้าหมายสัดส่วนใช้รถไฟฟ้าให้ได้ 100% ภายในอีก 25 ปี หรือจำนวน 21.1 ล้านคัน ในปี 2050

ดังนั้นเพื่อให้ไทยสามารถเร่งเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาป (ICE) ไปสู่รถไฟฟ้า (BEV) ให้เร็วขึ้น และบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ภาครัฐจำเป็นมีนโยบายที่ชัดเจนสร้างแรงจูงใจและสนันสนุนให้ประชาชนใช้รถ BEV กันมากขึ้น โดยขยายเวลามาตรการลดภาษีรถ BEV ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง และทำโครงการนำรถ ICE เก่า ไปแลกเป็นส่วนลดในการซื้อรถ BEV คันใหม่
ขณะเดียวกันยังต้องหาแนวทางลดจำนวนรถ ICE ให้ลดลงควรคู่กันด้วย เช่น ยกเลิก หรือเพิ่มค่าต่อภาษีรถยนต์เก่า โดยเฉพาะรถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 20 ปี แต่ต้องทำในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้เป็นภาระที่หนักมากต่อผู้บริโภค
เมื่อเพิ่มจำนวนรถ BEV แล้ว ไทยต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้มั่นคงด้วย โดยเฉพาะหัวชาร์จ ซึ่งต้องเพิ่มจำนวนให้ได้ถึง 1.4 ล้านหัว ภายในปี 2050 เฉลี่ย 1 หัวชาร์จต่อรถ 15 คัน (กรณีรถ BEV 21.2 ล้านคัน) รวมถึงภาคการผลิตไฟฟ้าต้องเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้นเป็น 100% จากปัจจุบัน เดือน ก.ย. 68 ที่มีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนใช้ผลิตไฟฟ้าประมาณเพียง 20.3%
บทความที่เกี่ยวข้อง:




