ในวันที่ฉากทัศน์ทางการเมืองที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะจบลงที่ไหน แต่จุดเริ่มต้นจากการที่พรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้หน้างานในหลายกระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยกำกับดูแลในฐานะรัฐมนตรี ล้วนแต่ได้รับผลกระทบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ต่อเนื่องไปถึงภาพรวมของ ครม. แพทองธาร 2 ที่ยังไม่เห็นว่าหน้าตาจะออกมาอย่างไร ล้วนแต่ทำให้หลายปัญหาสุ่มเสี่ยง ทั้งสิทธิที่ดิน สารพิษปนเปื้อน สวัสดิภาพแรงงาน รวมถึงการใช้เงิน 1.57 แสนล้านบาทที่จะเริ่มใช้จ่ายแล้ว รวมไปถึง ร่างกฎหมายหลายฉบับยังคาที่ไร้ทิศทางความชัดจน
การเดินหน้าต่อหลังได้ผลสอบตึก สตง.ถล่ม
ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ยังเป็นที่รอคอยของทุกฝ่าย หลัง อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้ลงนามคำสั่งกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติที่ 5/2568 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 30 มีนาคม โดยกำหนดกรอบ 90 วัน ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือนมิถุนายนนี้
โดย อนุทิน ระบุว่า กระทรวงมหาดไทยดำเนินการในเรื่องสาเหตุการถล่ม ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ตรวจสอบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฮั้วประมูล และได้ทราบว่าสาเหตุของตึกถล่มเป็นไปในทางเดียวกันแล้ว
ผลการสืบสวนพร้อมความเห็นที่จะต้องรายงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ หาก อนุทินไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ต่อ ก็อาจต้องรายงานต่อผู้มีบัญชาการลำดับถัดไปตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 – 2570 คือปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ
การเจรจาความร่วมมือ แก้ปัญหา “น้ำกกเปื้อนพิษ”
3 เดือนแม่น้ำกกยังเปื้อนพิษ แม้ว่าปัญหาเหมืองทองในประเทศเมียนมาจะเป็นที่รับรู้ของรัฐบาลมาก่อน จากการลงพื้นที่น้ำท่วม อ.แม่สาย ของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2567 และได้ตอบคำถามถึงปัญหาเหมืองทองว่า “อยู่ระหว่างการเจรจาความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง” แต่ประชาชนยังไม่เห็นความคืบหน้า
กระทั่งไม่กี่วันนี้ 13 มิถุนายน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เผยว่า ได้ตั้งคณะทำงานด้านเทคนิค นำโดย ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเร่งประเมินสถานการณ์ และเตรียมเดินหน้าเจรจาทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี รวมถึงใช้กลไกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เข้าไปร่วมพูดคุย
ด้านคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดินของไทย ได้ส่งหนังสือถึงเมียนมาขอนัดวันเจรจาหารือไปแล้ว ส่วนกระบวนการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคีและพหุภาคีก็อาจจะใช้เวลา แล้วภาวะสุญญากาศจะส่งผลต่อความพร้อมในการเจรจาหรือไม่
ขณะที่กระทรวงมหาดไทยยังต้องเดินหน้าดูแลท้องถิ่น โดยเฉพาะความเร่งด่วนในเวลานี้ที่ต้องลดผลกระทบต่อประชาชนให้เข้าถึงน้ำอุปโภคบริโภคอย่างทั่วถึงและเพียงพอให้ได้ รวมถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องลุยตรวจวัดสารโลหะหนักอย่างเป็นระบบ ในระหว่างที่การเจรจาหรือการแก้ไขปัญหายังไม่เกิดขึ้น
ถอน น.ส.ล.ทับที่ดินชาวไทดำ ยังไร้ทิศทาง
ปมปัญหาสิทธิที่ดินชุมชนไทดำ ลุ่มน้ำตาปี จ.สุราษฎร์ธานี ที่กำลังเสี่ยงไร้ที่ทำกินที่อยู่อาศัย หลังถูกออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) ประกาศผิดตำแหน่ง ทับสิทธิชุมชนไทยดำที่อยู่กันมานานกว่า 70 ปี มีการปักป้ายขับไล่ห้ามชาวบ้านเข้าพื้นที่ จนนำมาสู่การชุมนุมช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา
แม้ว่าผลการประชุมอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์ฯ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 จะยังไม่สามารถหาข้อสรุปการเดินหน้าเพิกถอนที่ดิน น.ส.ล. เนื่องจากยังมีประเด็นเห็นต่าง สร้างความผิดหวังให้กับชาวไทดำ ซึ่ง ทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย มีกำหนดลงพื้นที่วันนี้ (20 มิถุนายน 2568) ก่อนจะหารือกันอีกครั้ง แต่เมื่อต้องเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี ทำให้แนวโน้มการดำเนินการแก้ปัญหาน่าจะต้องทอดเวลาออกไป
ทดลองหลักสูตรใหม่ แต่ พ.ร.บ. การศึกษา ยังไร้วี่แวว
การศึกษาไทยเปลี่ยนหลักสูตรใหม่ในรอบ 17 ปี ยกเลิก 8 กลุ่มสาระวิชา เน้นการพัฒนาความสามารถของผู้เรียนทั้งทักษะพื้นฐานและทักษะความรู้ที่ใช้ในชีวิตประจำวันให้เหมาะสมตามช่วงวัย ตั้งแต่ระดับปฐมวัยไปจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่ปีนี้ยังเป็นช่วงทดลองใช้ในระดับอนุบาลถึง ป.3 โรงเรียนนำร่อง 4,398 แห่งทั่วประเทศ ก่อนใช้จริงปีหน้า
กว่าจะมาถึงวันนี้ก็มีความพยายามในการผลักดันข้อเสนอให้มีการปรับหลักสูตรมานาน เผชิญกระแสต่อต้านจากบุคลากรทางการศึกษาบางส่วน รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งแนวคิดแนวนโยบายเจ้ากระทรวงย่อมส่งผลต่อการเดินหน้า ที่เคยหยุดแผนการใช้หลักสูตรใหม่มาแล้ว
นอกจากความท้าทายว่าหลักสูตรใหม่จะตอบความคาดหวังในผลการทดสอบระดับชาติและนานาชาติให้เป็นที่น่าพอใจได้หรือไม่แล้ว ก็ยังไม่การันตีว่าจะถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการหรือไม่หากมีความผันผวนทางการเมืองอีกครั้ง ยิ่งในวันที่เจ้ากระทรวงจากพรรคภูมิใจไทยต้องวางมือ รอรัฐมนตรีคนใหม่มากำกับดูแล
ส่วนการผลักดัน พ.ร.บ. การศึกษาฉบับใหม่ ยังคงต้องรอต่อไป เมื่อยังไม่มีท่าทีว่าจะได้เข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ในเร็ววันนี้ ซึ่งคาดว่าจากเวลาที่เหลือของวาระรัฐบาลที่เหลืออีก 2 ปี อาจไม่ทันที่ พ.ร.บ. การศึกษา ใหม่จะผ่านกระบวนการทั้งหมดจนได้ใช้
ภาระครูยังไม่ลด
อีกประเด็นร้อนในแวดวงการศึกษาช่วงนี้ ที่มาควบคู่กับการปฏิรูปการศึกษาคือการลดภาระครู ที่เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของกระทรวงศึกษาธิการในยุครัฐบาลนี้ แต่ดูเหมือนว่าการดำเนินการก็ยังล่าช้าไม่ต่างกันกับ พ.ร.บ. การศึกษา ฉบับใหม่ เมื่อตอนนี้ยังมีข่าวสลดถึงการจากไปของคุณครูที่ต้องแบกรับภาระหน้าที่และความกดดันจากงานการเงินและพัสดุ
หลังเกิดเหตุได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง โดยบีบีซีระบุว่า ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “มีโรงเรียนตั้ง 30,000 โรง ทำไมมีปัญหาแบบนี้อยู่ที่นี่ที่เดียว” สะท้อนความไม่เข้าใจถึงปัญหาภาระงานเกินหน้าที่
ด้านกระทรวงศึกษาธิการก็ยังยืนยันว่าจะลดภาระครู ทั้งการบริหารจัดการที่จะนำเทคโนโลยีและ AI มาใช้ในงานเอกสาร การจัดการข้อมูล การย้ายและเลื่อนตำแหน่ง รวมถึงการพัฒนาระบบสนับสนุนงานธุรการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงการพิจารณาปรับปรุงวัฒนธรรมองค์กรด้วย
ซึ่งจากการติดตามนโยบายลดภาระครู นอกจากการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ก็เห็นจะเป็นการยกเลิกครูเวรที่เกิดขึ้นหลังเหตุครูถูกทำร้าย และอนุมัติงบประมาณ 618.8 ล้านบาทเพื่อจ้างเหมาะนักการภารโรงเพื่อทำหน้าที่ดูแลโรงเรียนแทน
ค่าแรง 400 บาทมาช้า ส่อแวว 600 บาทถูกเลื่อน?
อีกนโยบายเรือธงของภูมิใจไทย เรื่องการขึ้นค่าแรง จากเดิม 1 กรกฎาคมนี้ แรงงานใน กทม. จะได้ค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 บาท ส่วนจังหวัดอื่นปรับขึ้นในบางอาชีพ ถือว่าล่าช้าไปจากที่รัฐบาลประกาศว่าจะทำให้ได้ 400 บาทตั้งแต่ปีแรก ทำให้ค่าแรง 600 บาท และเงินเดือนวุฒิปริญญาตรี 25,000 บาท ที่บอกว่าจะทำให้ได้ภายในปี 2570 ก็อาจจะช้าไปกว่าที่ประกาศไว้เช่นกัน
เตรียมพร้อมช่วยคนไทยในตะวันออกกลาง
ส่วนการช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอลและอิหร่านที่กำลังตึงเครียด ถือเป็นภารกิจสำคัญในขณะนี้เช่นกัน โดยยังมีการยิงขีปนาวุธตอบโต้กันไปมาเป็นวันที่ 7 นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายนเป็นต้นมา มีพลเรือนเสียชีวิตทั้ง 2 ฝั่ง ทำให้ชาวต่างชาติเร่งเดินทางออกนอกพื้นที่
กระทรวงแรงงานยืนยันว่าสามารถติดต่อกับแรงงานไทยได้ทุกคน ติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง และเตรียมความพร้อมเข้าอพยพได้ทุกเมื่อ โดยมีคนไทยในอิสราเอลรวม 39,500 คน และในอิหร่านราว 250 – 300 คน และยังไม่มีรายงานแรงงานไทยได้รับผลกระทบหรืออยู่ในจุดอันตราย
สำหรับแผนปฏิบัติการเชิงรุกในกรณีฉุกเฉินของกระทรวงแรงงาน ประกอบด้วยการตรวจสอบพิกัดของแรงงานทุกคน การประเมินพื้นที่เสี่ยงตามข้อมูลล่าสุดจากสถานเอกอัครราชทูต การจัดพื้นที่ปลอดภัยร่วมกับนายจ้าง การฝึกอบรมแรงงานเพื่อเตรียมความพร้อมด้านอุปกรณ์และเส้นทางหลบภัย การเปิดช่องทางประสานงานฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง และการเตรียมแผนอพยพทั้งทางบกและทางอากาศ โดยเฉพาะเส้นทางรถยนต์เข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จอร์แดน และการประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อรองรับการอพยพทางอากาศหากมีความจำเป็น การปรับรัฐมนตรีช่วงนี้อาจทำให้หลายมาตรการสุ่มเสี่ยงเกิดการสะดุด
เจรจาภาษีทรัมป์ หวังไม่เกิน 10%
ภาษีทรัมป์ทำระส่ำทั่วโลก รวมถึงไทยที่ถูกตั้งกำแพงภาษีถึง 36% ซึ่งช่วงเวลานี้อยู่ในกรอบ 90 วันที่สหรัฐฯ เปิดทางให้ประเทศต่าง ๆ เข้ามาเจรจาต่อรอง
สำหรับไทยได้มีการหารือ 2 ชั่วโมงเมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ United States Trade Representative (USTR ) ได้ยื่น 5 ข้อพิจารณาออกมาตรการสร้างสมดุลการค้าทั้ง 2 ฝ่าย คือ
1.มาตรการทางภาษี และโควต้า
2.มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non Tariff Barrier)
3.การบริหารจัดการข้อมูลทางการค้าดิทิทัลระหว่างสองประเทศ (Digital Trade)
4.แหล่งกำเนิดทางสินค้า (Rule of Origins)
5.มาตรการด้านความมั่นคงของกิจการภายในประเทศและด้านเศรษฐกิจ (Economic and National Security)
โดยคณะผู้แทนเจรจาฝ่ายไทยจะต้องยื่นข้อเสนอเบื้องต้นตามกรอบ 5 ข้อนี้ภายในวันนี้ (20 มิถุนายน) วุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาฝ่ายไทย มั่นใจว่าข้อเสนอของไทย เช่น การลดภาษีนำเข้าในสินค้าบางรายการ, การซื้อเครื่องบินโบอิง, ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐ, การลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี จะทำให้สหรัฐพิจารณาเปิดเจรจารายละเอียดในนัดถัดไป และยืนยันว่าไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบทางการค้า และคาดหวังว่าไทยจะได้อัตราภาษีไม่เกิน 10%
อัด 1.57 แสนล้านกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน 7 ล้านคน
รัฐบาลวางแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังอ่อนแรงครึ่งปีหลัง ผ่านการใช้งบประมาณกลางวงเงิน 157,000 ล้านบาท ที่ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้อนุมัติโครงการล็อตแรกแล้ว 115,000 ล้านบาท
ส่วนใหญ่เป็นโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน 85,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นโครงการด้านการส่งออก/ผลิตภาพ 11,122 ล้านบาท โครงการด้านการท่องเที่ยว 10,053 ล้านบาท และโครงการด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ 9,201 ล้านบาท คาดการณ์ว่าแผนการกระตุ้นเศรฐกิจนี้จะเกิดการจ้างงานได้ 6 – 7 ล้านคน และทำให้ GDP เพิ่มขึ้นสุทธิราว 0.4%
หวยเกษียณ รอเคาะวาระ 2
หวยเกษียณ นโยบายที่น่าสนใจและเป็นที่สนับสนุนของหลายฝ่าย เป็นทางหนึ่งของการออมเพื่อการเกษียณในยุคสังคมสูงวัย ที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ. กองทุนการออมแห่งชาติ ในวาระแรกแล้วเมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่ขณะที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว และเตรียมนำเข้าสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 – 3
ร่าง Entertainment Complex จ่อเข้าสภาฯ
ร่าง พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ ร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงฯ (Entertainment Complex) กำลังเตรียมนำเข้าสภาผู้แทนราษฎรในวาระแรกช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ หลังถูกเลื่อนการพิจารณาเมื่อเดือนเมษายน
แม้รัฐบาลจะย้ำว่า Entertainment Complex ไม่ใช่การพนันออนไลน์ แต่ก็มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ดำเนินการแก้กฎหมายระดับรองเพื่อให้มีพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย ด้วยเชื่อว่าจะดึงเงินใต้ดินขึ้นบนดินได้ 3 ล้านล้านบาท
ซึ่งกฎหมายระดับรองนี้จะดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยไม่ต้องรอการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 ที่กระทรวงมหาดไทยผลักดันและต้องผ่านขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎร
ดูเหมือนว่า Entertainment Complex ยังต้องขยับหลายส่วนไปพร้อม ๆ กัน ภาวะทางการเมืองขณะนี้จะส่งผลต่อ “นโยบายเร่งด่วน” ของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ หากยังต้องพึ่งพาแรงสนับสนุนอย่างมากอยู่ เมื่อเสถียรภาพรัฐบาลกำลังสั่นคลอนนโยบายร้อนเรื่องนี้จึงเต็มไปด้วยแรงเสียดทาน
จับตาอนาคตทะเลไทย ผ่านกฎหมายประมง
การแก้ไขกฎหมายประมงเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมประมงยังมีความเคลื่อนไหวและความเห็นจากหลายฝ่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศมาเป็นระยะ โดยเฉพาะประเด็นปลดล็อกอวนตาถี่ที่สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบเมื่อปลายปี 2567
ต่อมากุมภาพันธ์ 2568 วุฒิสภามีมติให้กลับไปแก้ไขร่างกฎหมาย ตามที่กรรมาธิการวิสามัญฯ เสนอ แต่สภาผู้แทนราษฎรก็มีมติเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ไม่เห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมของวุฒิสภานี้ ทำให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมจำนวน 22 คน แบ่งเป็นสภาผู้แทนราษฎร 11 คน และวุฒิสภา 11 คน เพื่อถกเถียงพิจารณากันอีกครั้ง ก่อนเข้าสภาสมัยหน้า ก.ค.นี้
ขณะเดียวกันวานนี้ (19 มิถุนายน) ภาคประชาสังคมยื่น 36,011 รายชื่อเพื่อคัดค้านการปลดล็อกอวนตาถี่ ต่อคณะกรรมาธิการร่วมฯ ด้วย
ลุ้น สส. เคาะ พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ ฉบับ สว.
ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นความพยายามในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ คุ้มครองสิทธิของชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ให้เสมอภาคอย่างไม่เลือกปฏิบัติ ล่าสุดวุฒิสภามีมติเห็นชอบผ่านวาระ 3 แล้วเมื่อวันที่ 8 เมษายน
สำหรับร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ ฉบับวุฒิสภา มีการแก้ไขเพิ่มเติมบางถ้อยคำ ทำให้ต้องส่งกลับไปให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอีกครั้ง เช่นนิยามชาติพันธุ์ เปลี่ยนคำว่า “กลุ่มคน” เป็น “ชาวไทย” หรือ “ชาวไทยชาติพันธุ์” ส่วนประเด็นการประกาศเขคคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นข้อถกเถียงกัน เปลี่ยนคำว่า “ธรรมนูญ” เป็น “ข้อกำหนด” แต่ยังคงยึดหลักการเดียวกันกับร่างของสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ยังต้องจับตาต่อว่าสภาผู้แทนราษฎรจะมีมติอย่างไรต่อไป
รถไฟฟ้า 20 บาท ยังมั่นใจทันใช้ ก.ย.นี้
ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย กำลังจะได้ใช้จริงแล้ว 30 กันยายนนี้ โดยจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนภายในเดือนสิงหาคม นโยบายนี้จะมาพร้อมการผลักดันกฎหมาย ร่าง พ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ซึ่งคณะกรรมมาธิการฯ พิจารณาเสร็จแล้ว เตรียมนำเข้าสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 – 3 เดือนกรกฎาคม รัฐบาลยังให้ความมั่นใจว่าจะทันใช้กันยายนนี้แน่นอน
ส่วนร่าง พ.ร.บ. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ที่เกี่ยวข้องกับการชดเชยรายได้จากนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการแล้ว และอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมมาธิการฯ
สุญญากาศกัญชาลากยาว
พรรคภูมิใจไทยเจ้าของนโยบายกัญชาถอนตัวรัฐบาลแล้ว แต่ร่าง พ.ร.บ. กัญชา กัญชง ยังค้างเติ่ง ผ่านการรับฟังความคิดเห็นประชาชนแล้วแต่กระทรวงสาธารณสุขยังไม่นำเข้า ครม. หลายฝ่ายห่วงยิ่งขยายสุญญากาศ การควบคุมไม่ไปสักทางจึงสร้างปัญหาในเวลานี้
ด้าน สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่าไม่ได้ค้านกัญชา แต่ที่ไม่ผลักดันให้เร็วเพราะต้องให้กระบวนเป็นไปตามกฎหมาย
แม้ว่าคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดจะมีมติไปตั้งแต่ 5 กรกฎาคม 2567 ให้กัญชาและกัญชงกลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 เพื่อให้มีการควบคุมในระหว่างนี้ และได้เสนอต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ตามขั้นตอนถัดไป แต่กลายเป็นยังติดล็อกที่จุดนี้เมื่อ ป.ป.ส. ยังไม่เคาะ อนาคตกัญชากัญชงจึงยังไม่เห็น การควบคุมก็ยังไม่ชัดอยู่แบบนี้